การผสมผสานระหว่างแบรนด์ดิ้งและเทคโนโลยี: รวมกลยุทธ์แบบดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรมล้ำสมัย

technology x branding

แต่ก่อนหลายแบรนด์ใช้กลยุทธ์การตลาดดั้งเดิมในการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภค เช่น การแคมเปณโฆษณา โฆษณาทีวี และสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ในปัจจุบันโลกการตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การยึดติดกับวิธีการเก่าๆ จะทำให้แบรนด์เสียเปรียบเมื่อต้องแข่งขันในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล automation และเทคโนโลยี AI

เรากำลังมาถึงจุดที่การทำการตลาด/แบรนด์ดิ้งแบบดั้งเดิมและเทคโนโลยีจะมาบรรจบกัน และชัดเจนว่าคุณไม่สามารถเลือกไปแนวดั้งเดิมหรือใช้แต่เทคโนโลยีได้ เพราะประตูสู่ความสำเร็จในยุคนี้คือการนำเอา 2 สิ่งนี้มาผสานกัน

ทำไมการทำการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอแล้ว

การตลาดดั้งเดิมเคยเป็นทางเลือกหลักในการสร้างการรับรู้และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดี แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แค่การตลาดแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์ที่เฉพาะตัว (personalize) ในทุกช่องทาง ซึ่งจุดแหละจะเป็นจุดที่เราต้องนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเสริม

แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราจะเลิกทำการตลาดดั้งเดิมแบบดั้งเดิมไปเลย เราควรผสมผสานการตลาดแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

บทบาทของเทคโนโลยี: เครื่องมือที่ช่วยเสริมกลยุทธ์ดั้งเดิม

เทคโนโลยีไม่ได้มาแทนที่การตลาดดั้งเดิม แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและขยายขอบเขตการสื่อสารของแบรนด์ AI และระบบ automation ช่วยให้แบรนด์สามารถส่งสารให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

ตัวอย่างการนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยส่งเสริมการตลาดดั้งเดิม

 

การใช้ AI และระบบ automation เพื่อให้จับกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น: การตลาดแบบดั้งเดิมมักมีปัญหาในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่าง Google Ads และ Facebook Ads จะใช้ข้อมูลที่มีมาทำให้แคมเปณโฆษณาที่ทำเอาไว้จะถูกส่งไปถึงผู้บริโภคที่น่าจะสนใจมากที่แล้ว สามารถปรับ ROI ให้ดีขึ้น และเพิ่มปฏิสัมพันธ์ให้สูงขึ้นด้วย

Personalized Customer Journey: ผู้บริโภคไม่อยากได้รับข้อความจากแบรนด์แบบหว่านแหอีกต่อไป ในเรื่องนี้คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Dynamic Yield หรือ Optimizely หรือจะดีไซน์ Journey ออกมาเองเลยก็ได้ว่าอยากจะให้ลูกค้าได้ประสบการณ์แบบไหน โดยต้อไม่ทิ้งรากฐานของข้อความแบบดั้งเดิมที่เคยทำกันมา

การเห็นฟีดแบ็คและการปรับเปลี่ยนได้แบบเรียลไทม์: ในการตลาดแบบดั้งเดิม เมื่อปล่อยแคมเปญออกไปแล้วก็จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ จนจบแคมเปญแล้วค่อยประเมินผล แต่เมื่อเรานำเอาเทคโนโลยีมาร่วมด้วย เช่น การใช้ social listening อย่าง Hootsuite หรือ Sprout Social มาใช้ร่วมด้วยในระหว่างทำแคมเปญ เราก็จะรู้ว่าคนในโลกออนไลน์พูดถึงแคมเปณที่ปล่อยออกไปอย่างไรและปรับเปลี่ยนแคมเปณได้ทันที

เราเลือกทำแค่การตลาดแบบดั้งเดิมหรือใช้เทคโนโลยีอย่างเดียวได้ไหม

ความท้าทายที่แท้จริงสำหรับตอนนี้ไม่ใช่การเลือกระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิมกับโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แต่เป็นการผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ให้เกิดเป็นกลยุทธ์ที่สอดประสานกันและใช้งานได้ราบรื่นทุกช่องทาง

ด้านเทคโนโลยี คุณอาจจะลองใช้งาน AI มาทำให้งานหลายอย่างเสร็จเร็วขึ้น ความแม่นยำขึ้น และสร้างระบบอัตโนมัติได้เอง แต่ขอย้ำว่า AI ไม่ได้ความคิดสร้างสรรค์ สามารถสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ได้เหมือนกับที่คนเคยทำ

ในทำนองเดียวกัน กลยุทธ์แบบดั้งเดิมที่เรารู้สึกว่ามันน่าจะถูกต้อง ไว้ใจได้ แต่หลายครั้งก็ขาดประสิทธิภาพและต้องอาศียแรงงานคน ไม่ได้ทำงานได้อัตโนมัติ เมื่อข้อมูลเชิงลึกที่ซับซ้อน ก็ไม่ใช่ทุกนจะสามารถวิเคราห์ได้จริง นี่แหละสาเหตุที่เราเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

ดังนั้นเราจึงต้องนำเอากลยุทธ์ของการตลาดแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยอยู่แล้วไปผนวกกับพลังแห่งนวัตกรรมของเทคโนโลยี เราจึงจะสามารถสิ่งนำคู่แข่งได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จะได้ไม่พลาดโอกาสดีดีไป

ตัวอย่างของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจากการนำเอาการตลาดแบบดั้งเดิมมาทำงานรวมกันกับเทคโนโลยี

  1. Coca-Cola: แบรนด์ระดับโลกที่ใช้การตลาดแบบดั้งเดิม เช่น โฆษณาทางทีวีและป้ายโฆษณามากมายในการสร้างการรับรู้ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Coca-Cola ได้หันมาเล่นในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและระบบวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของผู้บริโภคได้ดีขึ้น โดยสร้างแคมเปญที่สอดรับกับอารมณ์ของลูกค้าและมีความเฉพาะบุคคลด้วย
  2. Glossier: เป็นอีกแบรนด์ที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมความงาม โดยสร้างรากฐานแบรนด์ที่แข็งแกร่งจากการตลาดแบบปากต่อปากและความภักดีของลูกค้า (loyalty) ซึ่ง Glossier หันมาใช้ data-driven insight และเครื่องมือการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ปรับเปลี่ยนได้ ผลลัพธ์คือลูกค้าจะได้เห็นคอนเท็นต์และประสบการณ์แบบ personalize

อนาคตของการทำการตลาด: ทำแบรนด์ที่ปรับตัวได้ไว ไม่ใช่แค่มีอะไรมาก็ค่อยทำตามเขาไป

อนาคตของการตลาดและแบรนด์ดิ้งไม่ได้อยู่ที่การเลือกใช้ AI หรือกลยุทธ์แบบดั้งเดิมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นการสร้างกลยุทธ์ที่ผสมผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จคือแบรนด์ที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ และสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมให้กับลูกค้า

เมื่อเทคโนโลยีและการตลาดวิถีเก่ามาเจอกัน จะเกิดเป็นพลังสำคัญในการสร้างแบรนด์ที่ยอดเยี่ยม มีประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์ได้ทันที นี่แหละคืออนาคตของการตลาด หยุดเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง แต่ต้องทำทั้งสองอย่าง

สรุป: ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วเดินหน้าต่อ

ณ ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกลงเลว่าจะทำแบบเดิมหรือจะปรับตัวนับกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าเสียเวลาลังเล เพราะทางที่ดีที่สุดคือต้องผสมผสานแนวทางการตลาดแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย วิธีการนี้จะช่วยให้แบรนด์ของคุณยังมีเอกลักษณ์ มีอารมณ์ความรู้สึกได้เหมือนเดิม แต่ก็เข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน

ดังนั้น คุณจึงต้องรักษาสมดุลระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิมและนวัตกรรมไว้ให้ดี ต้องเป็นตัวของตัวเอง แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ และล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยี แบรนด์ที่ทำทั้งสองเรื่องได้ดีจะประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

สนใจบริการด้าน AI ของเรา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *